วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วัฏจักรคาร์บอน (Carbon cycle)





วัฏจักรคาร์บอน (Carbon cycle)
           คาร์บอน (Carbon) เป็นธาตุที่มีอยู่ในสารประกอบอินทรีย์เคมีทุกชนิด 
ดังนั้นวัฏจักรคาร์บอนมักไปสัมพันธ์กับวัฏจักรอื่น ๆในระบบนิเวศ
   คาร์บอน เป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของสารอินทรีย์สารในสิ่งมีชีวิต เช่น 
คาร์โบไฮเดรด โปรตีน ไขมัน วิตามิน

วัฏจักรคาร์บอน  หมายถึง การที่แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากกอากาศถูกนำเข้าสู่สิ่งมีชีวิต
หรือออกจากสิ่งมีชีวิตคืนสู่บรรยากาศ  และน้ำอีกหมุนเวียนกันไปเช่นนี้ไม่มีที่สิ้นสุดโดย 
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในบรรยากาศและน้ำถูกนำเข้าสู่สิ่งมีชีวิต
ผ่านกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช (CO2) จะถูกเปลี่ยนเป็นอินทรียสารที่มีพลังงานสะสมอยู่
ต่อมาสารอินทรียสารที่พืชสะสมไว้บางส่วนถูกถ่ายทอดไปยังผู้บริโภคในระบบต่าง ๆ โดยการกิน
CO2 ออกจากสิ่งมีชีวิตคืนสู่บรรยากาศและน้ำได้หลายทาง ได้แก่

1.การหายใจของพืชและสัตว์ เพื่อให้ได้พลังงานออกมาใช้  ทำให้คาร์บอนที่อยู่ในรูปของอินทรีย
สารถูกปลดปล่อยออกมาเป็นอิสระในรูปของ CO2
2.การย่อยสลายสิ่งขับถ่ายของสัตว์และซากพืชซากสัตว์ ทำให้คาร์บอนที่อยู่ในรูปของ
อาหารถูกปลดปล่อยออกมาเป็นอิสระในรูปของ CO2
3.การเผ่าไหม้ของถ่านหิน น้ำมัน และคาร์บอเนต เกิดจากการทับถมของ
ซากพืชซากสัตว์เป็นเวลานาน
วัฏจักรของคาร์บอนสัมพันธ์กับวัฏจักรน้ำเสมอ ความสมดุลของ CO2 ในอากาศ
เกิดจากการแลกเปลี่ยนของ CO2 ในอากาศกับน้ำ ถ้าในอากาศ CO2มากเกินไป
ก็จะมีการละลายอยู่ในรูปของ H2CO3
(กรดคาร์บอนิก) ดังสมาการต่อไปนี้

CO2+H2O              http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/science03/26/2/ecology/image/Carbon%20cycle_clip_image001.gif          H2CO3


แนวข้อสอบนิเวศวิทยา 2/2555 part2

ประชากรและชุมชนในระบบนิเวศ

ประชากร
 

หมายถึง สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันที่อยู่ร่วมกัน ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง และเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน 

คุณลักษณะของประชากรประกอบด้วย
๑. ขนาด หมายถึง จำนวนของประชากรในแต่ละพื้นที่
๒. โครงสร้าง หมายถึง องค์ประกอบของประชากร ซึ่งแบ่งตามอายุ และเพศ
๓. ความหนาแน่น หมายถึง จำนวนประชากรที่นับต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ เช่น จำนวนต้นไม้ ๑๕๐ ต้นต่อไร่
๔. การเพิ่มจำนวน หมายถึง การเปลี่ยนแปลงขนาดของประชากรที่เป็นผลรวมสุทธิระหว่างอัตราการเกิด การตาย การย้ายถิ่นเข้า และการย้ายถิ่นออก โดยมีขีดความสามารถของสิ่งแวดล้อมในพื้นที่นั้น เป็นตัวกำหนดให้ประชากรในพื้นที่เพิ่มจำนวนในอัตราที่เหมาะสม นั่นคือ การเพิ่มจำนวนของประชากร แต่ละชนิด จะต้องอยู่ภายในอิทธิพลของประชากรอื่นในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน ถ้าเมื่อใดที่จำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น เกินระดับความเหมาะสม ส่วนที่เกินนั้นก็จะถูกชีวิตอื่นกำจัดให้ลดลง


ชุมชน 

หมายถึง กลุ่มของสิ่งมีชีวิตหลายชนิด ที่อาศัยอยู่รวมกันในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง และมีการดำรงชีวิตที่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน การเรียกชื่อชุมชนใดชุมชนหนึ่งอาจเรียกตามลักษณะโครงสร้างของชุมชน ซึ่งจะเรียกตามจำนวนที่หนาแน่นมากที่สุดของประชากรในชุมชน หรืออาจเรียกตามรูปร่างลักษณะของประชากรที่อาศัยอยู่ในชุมชนนั้น ที่แสดงความแตกต่างระหว่างกันให้เห็นอย่างชัดเจน เช่น พืชซึ่งแบ่งความแตกต่างของลักษณะประชากรออกได้เป็น ๖ ลักษณะ ได้แก่
- ต้นไม้ มีลักษณะเป็นพืชยืนต้นที่มีขนาดสูงใหญ่ มีลำต้นปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจน
- ไม้พุ่ม มีลักษณะเป็นพืชยืนต้นที่มีขนาดเล็กกว่าต้นไม้ มีกิ่งก้านสาขารวมทั้งใบไม้จำนวนมาก อยู่ใกล้บริเวณพื้นดิน
- ไม้ล้มลุก มีลักษณะเป็นพืชขนาดเล็กอาจมีอายุยืนยาวนานหลายปี เช่น หญ้า
- ตะไคร่ เป็นพืชที่มีขนาดเล็กมาก เช่น มอส
- พืชอากาศ เป็นพืชที่เกาะอาศัยอยู่ติดกับ กิ่งก้าน หรือลำต้นของต้นไม้อื่น โดยลำต้นไม่ สัมผัสกับพื้นดินเลย เช่น กล้วยไม้ 
- เถาวัลย์ เป็นพันธุ์ไม้เลื้อยที่ขึ้นเกี่ยวพัน กับต้นไม้อื่น ไม่สามารถจะทรงตัวอยู่ได้โดย ลำพัง


ในบริเวณชุมชนใดที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ และมีสิ่งมีชีวิตต่างชนิดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ความสัมพันธ์ของชีวิตในชุมชนก็จะมีมาก ชุมชนนั้นสามารถที่จะถ่ายทอดพลังงาน และสสารให้อยู่ในสภาพที่สมดุลได้ โดยไม่ต้องอาศัยชุมชนอื่น การมีจำนวน และความต่างชนิดกัน ในชุมชนจึงเป็นความหลากหลายที่สร้างระบบ แห่งความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนและมั่นคงทน ทานต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเข้ามารบกวนได้สูง เช่น ในการที่องค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง ภายในชุมชนถูกทำลายลง ชีวิตอื่นๆ ในชุมชน ก็จะช่วยกันปรับตัว ฟื้นฟูสภาพของระบบภายในชุมชน ไม่ให้แตกสลายลงได้ เช่น ในระบบนิเวศของป่าหญ้า ที่ชุมชนประกอบด้วยหญ้า ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารจากพลังงานดวงอาทิตย์ มีกวาง เก้ง เนื้อทราย ฯลฯ ทำหน้าที่เป็นผู้ บริโภคพืช และสัตว์เหล่านี้ก็จะเป็นเหยื่อของ สัตว์ที่เป็นผู้ล่า เช่น เสือ หมาใน สิงโต ซึ่ง เมื่อใดก็ตามถ้ากวางถูกล่ามากไปกว่าสัตว์อื่น จำนวนกวางก็ลดน้อยลง หายากขึ้น เสือก็จะ หันไปหาเหยื่อที่ง่ายกว่า เช่น เก้ง เนื้อทราย ในช่วงเวลานั้น กวางก็จะมีโอกาสขยายพันธุ์ เพิ่มขึ้นใหม่ หรือในกรณีที่เสือมีเหยื่อให้บริโภค มาก จำนวนเสือก็จะมากขึ้น ก็จะทำให้ปริมาณของเหยื่อลดลง หญ้าที่เป็นอาหารของเหยื่อก็มี โอกาสฟื้นตัวได้มากขึ้น ขณะเดียวกันเมื่อหาเหยื่อได้ยากขึ้น เสือก็จะลดจำนวนลง เมื่อผู้ล่าลดจำนวนลง จำนวนของเหยื่อและหญ้าก็จะขยายพันธุ์ได้เพิ่มขึ้นอีก เป็นการควบคุมกันเองของระบบชีวิตในชุมชน

แนวข้อสอบปลายภาค นิเวศวิทยา 2/2555 part1

คำศัพท์บทที่ 9
   1. lentic , standing water = แหล่งน้ำนิ่ง
   2. lotic , flowing water = แหล่งน้ำไหล
   3. osmore gulation = การควบคุมการออสโมซิส
   4. eutrophication = การเน่าเสียของน้ำอันเนื่องมาจาก การขาดสมดุล
   5. bentos = สิ่งมีชีวิตที่อาศัยใต้พื้นน้ำ ติดกับพื้นดิน
   6. periphyton =  สิ่งมีชีวิตที่อาศัยตาม ใบ ต้น หรือ ราก ของพืชน้ำ
   7. plankton = สิ่งมีชีวิตที่ล่องลอยไปตามกระแสน้ำ
   8. nekton = สิ่งมีชีวิตที่ว่ายน้ำได้เอง อย่างอิสระ
   9. neuston = สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนผิวน้ำ
   10. littoral zone = เขตชายฝั่ง
   11. limnetic zone = เขตผิวน้ำ
  12. profundal zone = เขตก้นน้ำ
   13. rapid zone = เขตน้ำไหลเชี่่ยว
   14. pool zone = เขตน้ำไหลเอื่อย
   15. plasmolysis = การเคลื่อนที่ของสารที่อยู่ภายในเซลล์ มายังนอกเซลล์

คำศัพท์ ความสัมพันธ์ ของสิ่งมีชีวิต
   1. mutualism (+ , +) = ภาวะพึ่งพาอาศัยกัน
   2. protocooperation  (+ / +) = ภาวะได้ประโยชน์ร่วมกัน
   3. commensalism (+ , 0) = ภาวะอิงอาศัยหรือภาวะเกื้อกูล
   4. exploitation (+ , -) = การแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง
          - parasitism = ภาวะประสิต
          - predation = ภาวะการล่าเหยื่อ
   5.competition (- , -) = ภาวะการแก่งแย่ง
   6. antibiosis (0 , -) = ภาวะการต่อต้าน

คำศัพท์ เรื่องชุมชน
   1. community = ชุมชน
   2. biotic = สิ่งมีชีวิต
   3. major community = ชุมชนเด่น
   4. mirror community = ชุมชนรอง
   5. dominace species = สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเด่น
   6. index of dominance = ค่าดัชนีลักษณะเด่น
   7. niche = ตำแหน่ง = บทบาทหน้าที่
   8. fundamental niche = บทบาทหน้าที่พื้นฐาน
   9. realized niche = บทบาทหน้าที่ ที่เกิดขึ้นจริง
   10. species diversity in community = ความแตกต่างชนิดกันในชุมชน
   11. species diversity index = ดัชนีความหลากหลายของชนิดในชุมชน
   12. tropical rain forest = ป่าดิบชื้น
   13. temperate deciduous forest = ป่าผลัดใบในเขตอบอุ่น
   14. zonation = ชุมชนที่จัดลำดับเขต
   15. ecotone = ชุมชนเชื่อมต่อ
   16. edge  species  = สิ่งมีชีวิตที่พบบริเวณจุดเชื่อมต่อ แต่ไม่พบที่บริเวณใกล้เคียง
   17. ecological succession = การเปลี่ยนแปลงแทนที่ทางนิเวศน์วิทยา
   18. succession = การเปลี่ยนแปลงแทนที่่
   19. hydrarch succession = การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในน้ำ
          - bare bottom = ขั้นสระเกิดใหม่
          - submerged vegetation = พืชใต้น้ำ
          - emerging vegetation = พืชโผล่พ้นน้ำ
          - temporary pone = ขั้นสระชั่วคราว
          - beech and maple forest = ขั้นเป็นพื้นดินและป่าไม้
          - climax stage = ซึ่งเป็นสภาวะที่อยู่ตัวแล้ว
   20. pioneer stage = สิ่งมีชีวิตรุ่นบุกเบิก